1. ผงชูรสได้เริ่มคิดค้นและผลิตจากประเทศญี่ปุ่น โดยเริ่ม จากการสกัดสาหร่ายทะเลคอมบุ (ญี่ปุ่นเรียกว่า อูมามิ) แต่ประเทศไทยสกัดจากมันสัมปะหลังและกากน้ำตาล แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นเพราะก็ได้ผลลัพธ์ออกมาเหมือนกัน คือ กรดกลูตามิก
2. ผงชูรสเป็นวัตถุเจือปนอาหารที่ใส่เพื่อเพิ่มรสชาติของอาหาร ตัวผงชูรสเองนั้นไม่มีรสชาติ แต่ว่าช่วยชูรสชาติให้เด่นขึ้น (ใครไม่เชื่อไม่ควรไปทดลองทานผงชูรสเล่นนะครับ)
3. ปัจจุบันมีการใช้ผงชูรสอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ ในไทยเราก็เช่นกัน และเป็นที่นิยมในอาหารประเภทต่างๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น ส่วนอาหารปรุงสุกทั่วไปไม่ต้องพูดถึง ร้านอาหารบ้านเราก็ใช้ผงชูรสเกือบทุกร้านกันเลยก็ว่าได้
4. ปริมาณการใช้ที่เหมาะสม คือ อาหาร 500 g ผงชูรสที่ใช้ได้ไม่ควรเกิน 4 g หรือ 1 ช้อนชาเท่านั้นครับ ลองนึกถึงอาหารประจำชาติเรา เช่น ส้มตำ พอนึกภาพการตักผงชูรสโดยใช้ทัพพีตักใส่ลงไปออกใช่มั้ยครับ อันนี้อยู่ที่แม่ค้ามือเบามือหนักนะครับ
5. การใส่ผงชูรสที่พอเหมาะจะช่วยให้การปรุงรสด้วยเกลือลดลงได้โดยที่ความอร่อยยังคงอยู่ เค้าว่าสามารถช่วยคนที่ต้องการลดเกลือได้ครับ
6. หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง องค์กรวิชาการระหว่างประเทศ ได้ทำการประเมินความปลอดภัย ส่วนใหญ่กล่าวว่า มีผลกระทบต่ำและควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม
7. เอ๊ะ ใครอ่านถึงตรงนี้ก็น่าจะรู้สึกว่า แบบนี้ผงชูรสก็ไม่ได้อันตรายอะไรสิ จริงๆแล้วพบว่าผงชูรสจะมีผลกระทบกับคนไทย 1% ที่อาจจะเกิดอาการ MSG Symptom Complex และ Chinese Restaurant Syndrome, CRS ซึ่งจะมีลักษณะอาการ ชาตามต้นคอ แล้วค่อยๆลามมาที่แขนสองข้าง หลัง และมีอาการอ่อนเพลีย ใจสั่น รวมถึง แสบร้อน ผิวตึง ปวดแน่นหน้าอก ปวดหัว คลื่นใส้ หัวใจเต้นเร็ว ง่วงซึม และอ่อนแรง ในกรณีคนเป็นโรคหอบหืดอาจจะมีอาการหายใจลำบากด้วย
8. เราอาจจะเป็น 1% ที่ได้รับผลกระทบก็ได้ ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ก็ทานแต่พอดีหรือไม่ทานได้เลยก็ยิ่งดีครับ
9. สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างนอกจากการบริโภคผงชูรสเกินปริมาณ คือ ผงชูรสปลอม (ทำจากบอแรกซ์ หรือ โซเดียมเมตาฟอสเฟตที่เป็นอันตรายต่อร่างการ) นี่แหละครับ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าพ่อค้าแม่ค้าใช้ผงชูรสที่ผ่านมาตรฐานของ อย. รึเปล่านะครับ ถ้าหากเจอร้านที่ต้องการลดต้นทุนหรือไม่มีความรู้พออาจจะใช้ผงชูรสปลอมเนื่องจากราคาที่ถูกกว่าได้นะครับ
10. นอกจากนี้ ผมยังพบว่ามีข้อมูลจากบางเว็บกล่าวถึงโทษของผงชูรสแท้ แบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1. ส่วนที่เกิดจากโซเดียม
- ทำให้ภูมิต้านทานร่างกายมนุษย์ลดลง
- ทำให้เกิดการคั่งในสมองเด็ก ซึ่งเมื่อเด็กโตขึ้นจะเป็นคนปัญญาอ่อน
- ทำให้เด็กทารกเกิดอาการชักโคมา ซึ่งบางครั้งแพทย์ไม่รู้สาเหตุ อาจทำการรักษาผิดพลาดเป็นอันตรายได้
- เป็นภัยต่อหญิงมีครรภ์ทำให้ร่างกายบวม และยังมีพิษภัยต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิดด้วย
- อันตรายต่อผู้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคไต ความดันสูง โรคหัวใจ และโรคอื่นๆ ที่แพทย์ห้ามกินของเค็ม
2. พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากตัวผงชูรสแท้
- ทำให้เกิดอาการแพ้ผงชูรส ซึ่งจะมีอาการชาและร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้าอก หัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่สะดวก เป็นต้น
- ทำลายสมองส่วนหน้าที่เรียกว่าไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโต และระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำให้การเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ เป็นหมัน อวัยวะสืบพันธุ์เล็กลง ทั้งในเรื่องขนาดและน้ำหนัก
- ทำลายระบบประสาทตา
- ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้
- ทำให้ไวตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวตามินบี-6 ทำให้ร่างกายผิดปกติและเป็นโรคผิวหนังได้ง่าย
- เกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผงชูรสที่ผ่านความร้อนสูงๆ เช่น การปิ้ง ย่าง เผา
- ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) ทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น
- เปลี่ยนแปลงโครโมโซม ทำให้ร่างกายเกิดวิรูปหรือผิดปกติ
- ถ้ากินมากจะผ่านเยื่อกั้นระหว่างรกภายในร่างกายของมารดากับทารกในครรภ์ได้
ดังนั้น สำหรับผมแล้วถ้าไม่จำเป็นให้หลีกเลี่ยงการทานผงชูรสน่าจะดีที่สุดนะครับ
แหล่งข้อมูล : wikipedia, insurancethai