อุบายเอาชนะกามราคะ

Rate this item
(0 votes)
อุบายเอาชนะกามราคะ

คำสอนของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท พระโพธิญาณเถร

อัน ว่ากาเมนี้ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ เป็นปัญหาหนักอกหนักใจของพระหนุ่มเณรน้อยเกือบทุกรูป หรือไม่หนุ่มก็เถอะ ว่ากันว่าการที่นักบวชไม่สามารถครองผ้ากาสาวพัสตร์ไปได้ตลอดรอดฝั่งนั้น

ต้น เหตุสำคัญก็อยู่ที่แรงดึงดูดอันมหาศาลของเรื่องนี้นั่นเอง เพราะฉะนั้น เมื่อหลวงพ่อสอนเรื่องกาม แม้จะเป็นเรื่องหยาบก็ต้องสอนกันบ่อย ๆ และพูดกันอย่างตรงไปตรงมา เพราะลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อ ส่วนมากก็เป็นพระหนุ่มพื้นบ้าน

“งูเห่าตายแล้วหรือยัง?” ครั้งหนึ่งหลวงพ่อถามพระหนุ่มผู้ร้อนผ้าเหลือง ลูกศิษย์ก้มหน้างุด หน้าแดงและตัวสั่นนิด ๆ “ระวังนะอย่าให้งูเห่ามันฉก วันไหนมันแผ่แม่เบี้ยมาก ๆ ก็ให้ทำความเพียรให้มาก”

อีกตัวอย่าง ที่เป็นคำสอนของท่านในเรื่องนี้ก็เช่นว่า

“เออ ! มันหลงน้อ ไอ้โลภ โกรธ หลงนี่เลิกไม่ได้ซักทีน้อ ความงามมันงามอยู่แค่ตานี่นะ ต้องดูให้ดี ๆ ความหลงมันก็หลงอยู่ที่จิตใจนี้ มันไม่ภาวนานะ งามหนัง หลงหนังเรอะ ดูดี ๆ ซิ ข้างล่างมันมีอะไร ดูดีแล้วเหรอ

จิตใจมันเป็นยังไงนักหนา จะไม่ให้มันพ้นเชียวเหรอ ทุกข์พวกนี้น่ะ อยากเข้าคุกอีกเหรอ รักรูขี้เขาเหรอ นี่สองรู รูขี้ ไม่ล้างละก็เหม็นคลุ้งเลยนะ ไม่เชื่อเหรอ ขี้มูกไหลอยู่น่ะ ไม่รู้ว่าหลงรูขี้เขาด้วยซ้ำ รูขี้เขาทุกขุมขน ทั่วใบหน้า บ้าแท้ ๆ ยังจะหลงมันอีก ยังอยากกลับไปตายที่เก่าอีก ยังไม่พออีกเหรอ"

บางครั้งท่านก็เทศน์เรื่องอสุภะอสุภัง เรื่องของการเกิด อย่างท่านจะดุว่า

“ออกมาแล้วยังอยากจะกลับเข้าไปอีกเหรอ กว่าจะคลอดออกมาได้ จมอยู่กับของสกปรก ผ่านของสกปรกมามากแค่ไหน ยังไม่รู้สึกอีก”

แล้ว ท่านจะเปรียบเทียบกับรู หรือท่อในส้วมให้เห็นว่า มันสกปรกอย่างนั้น บางทีท่านก็เปรียบเทียบความอยากในกามเหมือนคนอยากกินเนื้อสัตว์ว่า

“กาม นี้พระพุทธเจ้าหรือปราชญ์ทั้งหลายท่านสอนว่า เหมือนกันกับคนกินเนื้อสัตว์ เมื่อมันเข้าไปในซี่ฟันเจ็บปวด แล้วก็เอาไม้มาจิ้มมันออก แหม ! สบายนะ เดี๋ยวก็คิดอยากอีกแหละ อยากเนื้ออีกก็มากินอีก

เนื้อมันก็ยัดเข้า ไปในซี่ฟันแล้วก็ปวดอีก ไปหาไม้มาแหย่มันออกจิ้มมันออก แล้วก็สบายอีกแล้ว แต่นึกไปอีกอยากอีก ใช่ไหม ไม่รู้จัก ยังงั้นถึงเป็นกรรม กามนี่ขนาดนี้ ไม่ดีไปกว่านั้น พอปานนั้นแหละ”

หลวงพ่อเล่าถึงตัวเองว่า

“พอ บวชมาแล้ว โอ้โฮ มันกลัวทั้งนั้นแหละ มันคล้าย ๆ ว่าเห็นกามที่เขาอยู่นะ ไม่เห็นความสนุกกับเขา แต่เห็นความทุกข์มากกว่า มันคล้าย ๆ กับกล้วยน้ำว้าใบหนึ่ง เราไปทานมันก็หวานดี มันมีรสหวานก็รู้อยู่

แต่ เวลานี้รู้ว่า เขาเอายาพิษไปฝังไว้ในกล้วยใบนั้น แม้จะรู้อยู่ว่ามันหวานเท่าไรก็ช่าง ถ้ากินไปแล้วมันจะตายใช่ไหม ความเห็นมันเป็นเช่นนั้นทุกที ว่าจะกินก็เห็นยาพิษ ฝังอยู่ในนั้นทุกทีนั่นแหละ

มันก็เลยถอยออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีอายุพรรษามากขนาดนี้แล้ว ถ้าเรามองเห็นแล้ว มันไม่น่ากินเลยนะ”

พระ อาจารย์รูปหนึ่งเล่าว่า “สมัยก่อนผมเองก็เคยมีปัญหาเรียนถามท่าน บางครั้งก็ภาวนาไม่ลง เพราะถ้าเห็นผู้หญิงสาวสวย ๆ ก็เกิดมีความรัก ชอบมองดู ผมเขาก็สวยดูเรือนร่างของผู้หญิงแล้วสวยงามไปหมด ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร

ผมก็จนใจเพราะติดอยู่ตรงนั้น ภาวนาไม่ลง หลวงพ่อท่านก็ได้ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับจิตใจของผม ท่านว่า นั่นแหละเราไปหลงในรูปร่างกายของคนอื่น ถ้ายึดว่าสวยก็ไปหลงรัก ถ้ายึดว่าไม่สวยก็ไปหลงชัง

เพราะเรายังภาวนาไม่เป็นเกิดความมัวเมา ลุ่มหลงอย่างนั้น ดูให้แน่ชัดซิว่ามันสวยจริง ๆ หรือ ถ้ามันยังตอบว่าสวยจริง ๆ ก็หันไปดูแม่ยายของเขาเสียก่อนว่า มีสภาพเป็นอย่างไร ผมที่ว่าดำสลวยสวยงามนั้น อีกไม่นานก็จะหงอกขาว

เนื้อ หนังที่เต่งตึงในวัยสาวพอถึงวัยชรามันก็เหี่ยวย่น หย่อนยานไป นับวันจะทรุดโทรมลงทุกวัน ๆ ดูแม่เขาซิ เมื่อก่อนเขาก็สวย แต่เดี๋ยวนี้เขาก็มีอันเปลี่ยนไปดูไม่ได้ใช่ไหม นั่นแหละมันเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ

กฏของสภาวะธาตุที่ไม่มีใครจะ ฝ่าฝืนได้ ควรที่เราจะหันมาค้นคว้าพิจารณาดู เพื่อให้รู้แจ้งทั้งร่างกายของเราและของคนอื่นด้วยการพิจารณาอสุภกรรมฐาน เพื่อเพิกถอนความลุ่มหลงของจิตใจให้จางคลายไป

เพราะหมดความสงสัย ว่าสวยว่างาม เพราะเราดูเพียงผิวเผินจึงทำให้ลุ่มหลงเอามาก ๆ ให้พวกเราพิจารณาให้ลึกซึ้งด้วยปัญญา จึงจะเห็นตามสภาพความเป็นจริง จึงจะสามารถถอดถอนความกำหนัดยินดีออกจากจิตใจได้

สามารถยกจิตใจออกจากกองทุกข์ได้ หลวงพ่อท่านมีปัญญามีความฉลาดรอบรู้ สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีที่สุดครับ”

สำหรับรายที่อาการหนักจริง ๆ ภาวนาเท่าไร ๆ ก็ยังฟุ้งซ่าน หลวงพ่อมีคำแนะนำซึ่งทำให้ผู้ฟังคอย่นว่า

"สันอีโต้ สันขวนฮั่น สับมันลงไปโลด เบิ่งเบิ๋งมันสิกล้าโงหัวขึ้นอีกอยู่บ้อ"

(สันมีดโต้ หรือสันขวานแน่ะ สับมันลงไปเลย ดูซิมันจะกล้าผงกหัวขึ้นมาอีกไหม)

แต่คำว่า กาม มีความหมายกว้างขวางนัก มิใช่แต่ความรู้สึกต่อเพศตรงข้าม หลวงพ่อเคยเตือนสติพระเณรว่า

" อย่างเราบวชเข้ามานี้ก็ดีใจว่า จะไม่ได้เสพกามแล้ว อันนี้เป็นคำพูดของเราที่ติดปากกันมา แต่เมื่อเรามองเข้าไปอีกทีว่า ใครเสพนี่ ตามันเห็นรูป ถ้ามันยังเกลียดหรือชอบเขาอยู่ มันก็เสพแล้วนี่

ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต ถ้าไม่รู้เรื่องมัน ๆ ก็เสพทั้งหมด เดี๋ยวนี้ทั้งพระทั้งเณรเสพกามนี้ ไม่ได้หนีกามหรอก ตาเห็นรูปผู้หญิง มันชอบก็เสพแล้ว จมูกดมกลิ่น มันหอมชอบมันก็เสพอีก ยังเสพกามอยู่ยังปล่อยวางอารมณ์ไมได้ ที่ว่าเราเป็นพระนั่นสมมุติขึ้นมาหรอก"

นอกจากนี้ท่านก็เปรียบเทียบให้เห็นโทษในการติดรสของกาม ซึ่งเป็นอันตรายต่อการประพฤติปฏิบัติอย่างยิ่งว่า

" การประพฤติปฏิบัติมันก็ยาก ครูบาอาจารย์จะสอนให้เข้าแบบเข้าแนวก็ยาก มันติดรสเสียแล้ว เหมือนกับสุนัข ถ้าเอาข้าวเปล่า ๆ ให้กินทุกวัน ๆ มันก็อ้วนอย่างหมูเหมือนกัน

แต่ถ้าวันหนึ่งเอาแกงราดข้าวให้กินซี เอาซักสองจานเท่านั้นแหละ วันหลังเอาข้าวเปล่าให้กิน มันไม่กินแล้ว แน่ะ มันติดเร็วเหลือเกิน

ดัง นั้น รูป เสียง กลิ่น รสนี่ จึงเป็นเครื่องทำลายการประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าหากว่าเราทุกคนไม่มีการพิจารณาในปัจจัยสี่ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และยารักษาโรค"

แล้วท่านก็ยังชี้ให้เห็นว่า แม้การชอบคลุกคลีกับเพื่อน หาความสนุกกับการพูดคุยก็เป็นอาการของกาม ท่านบอกว่า พระอรหันต์พระอริยเจ้า อยู่กันเป็นหมื่นเป็นแสนก็ไม่มีเสียง ผู้ประพฤติปฏิบัติจริงอยู่กันร้อยสองร้อยก็ไม่มีเสียงคุย

เพราะ ฉะนั้น หลวงพ่อจึงย้ำแล้วย้ำอีกว่า นักปฏิบัติมุ่งหน้าปฏิบัติจริง ๆ ไม่มีการพูดคุย เวลาซักผ้าที่โรงย้อม ระหว่างรอผ้าแห้งท่านก็ให้ขัดบาตรรอไปพลาง ๆ หรือทำไม้สีฟันบ้าง รูปไหนเผลอส่งเสียง ท่านจะมาฮึ่มใส่ว่า "ปล่อยให้หมากันอีกแล้ว"

เพราะโรงย้อมอยู่ใกล้กับกุฏิของท่าน เวลาจะไหนท่านจะสั่งเสียให้รักษาวัดให้ดี อย่าปล่อยให้หมามาขี้ใส่ เป็นต้น